บางแสน ชลบุรี

566000004014601.jpg

เบื้องลึก “ถุงเงิน 6 ล้าน” กับ “เกมยึด ป.ป.ง.” ฉีกหน้ากาก “ก๊วนชูวิทย์-เอกรักษ์”


“สนธิ” เผยเบื้องลึก เกมยึด ป.ป.ง. โดย “ก๊วนชูวิทย์” และ “รองฯ เอก” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ที่สนิทสนามกับชูวิทย์ และใกล้ชิดกับ “อดีต ผกก.โจ้ ถุงดำ” แต่เกมมาพังเพราะถูกเปิดเรื่องถุงเงิน 6 ล้าน ทำให้ “เสี่ยอ่าง” หลุดปาก ต้องแก้เกมเร่ง #saveเอกปปง เป็นพัลวัน แต่ยิ่งแก้ยิ่งพันตัวเอง เพราะชูวิทย์แถลงเรื่องถุงเงิน 4 ครั้งไม่ตรงกันสักครั้ง ขณะเดียวกันยังปรากฏว่าภรรยาของ “รองฯ เอก” เข้าพัวพันกับเว็บพนัน kingpin88 ส่วนลูกชายก็ถูกฟ้องฐานลักรถอดีต ผกก.โจ้ไปขาย

ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังความเกี่ยวข้อง-พัวพันระหว่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

จุดเริ่มต้นของการเปิดโปงเรื่องนี้มาจากกรณีถุงเงินปริศนา 6 ล้านบาทที่มีคนนำไปมอบให้นายชูวิทย์ ซึ่งเมื่อช่วงเย็นวันพุธที่ 22 มีนาคม 2566นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้โพสต์ภาพถุงกระดาษบรรจุเงินสดจำนวน 2 ถุงลงเฟซบุ๊กและเขียนข้อความว่า“แฉไป ไถไป”


กลางดึกวันเดียวกันคือ วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 นายชูวิทย์ รีบออกมาโพสต์เฟซบุ๊กอธิบายว่า

“เงิน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้าน ที่ทนายตั้มพูดถึง เห็นแล้วจำได้ชัดเจนเป็นเงินที่นายตำรวจผู้ใหญ่นอกราชการคนหนึ่งที่ผมรู้จักมานาน นำมาให้ที่โรงแรมของผม โดยบอกว่าเป็นเงินของ “ซัว” ให้ผมช่วยหยุดโจมตี ผมบอกไปว่า “ไม่รับเคลียร์” มันไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมยังต้องแฉต่อ แต่นายตำรวจท่านดังกล่าว ยืนยันยัดเยียดให้ผมรับไว้ และสิ่งที่ง่ายที่สุด คือ ผมเก็บเงินไปใช้ส่วนตัว เพราะไม่มีใครทราบ

“แต่ผมเลือกที่จะนำเงินในถุงแรกจำนวน 3 ล้าน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วาเลนไทน์เดือนที่แล้ว และอีกถุงจำนวน 3 ล้านเท่ากัน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ทั้ง 2 ครั้งมีสื่อมวลชนไปทำข่าวเป็นสักขีพยาน และผมก็ยังแฉเรื่อง “ซัว” อย่างต่อเนื่อง


วันต่อมา 23 มีนาคม 2566 “ทนายตั้ม” และ นายชูวิทย์ ต่างก็จัดแถลงข่าวกรณี#แฉไปไถไปจากการที่ พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือ “สารวัตรซัว” เจ้าของเว็บพนันเครือข่ายเป็นต่อ ได้ติดต่อให้คนใกล้ชิดเอาเงินไปให้นายชูวิทย์ ที่ รร.เดวิส เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมีรายละเอียดและก่อให้เกิดคำถามที่น่าสนใจหลายประการดังนี้

หนึ่งเงินจำนวนดังกล่าวไม่ว่าจะ 6 ล้านบาท, 10 ล้านบาท หรือกี่ล้านบาท ก็แล้วแต่ “สารวัตรซัว” ให้ตำรวจที่รู้จัก นำไปจ่ายให้นายชูวิทย์ เพื่ออะไร?
– เพื่อปิดปากกรณีที่จะกลับมาเปิดให้บริการอาบอบนวด LA LISA(โคปาคาบาน่าเดิม) ?

– เกี่ยวข้องกับการไม่ให้แฉเว็บไซต์การพนันในเครือข่ายเป็นต่อ ซึ่ง “สารวัตรซัว” เป็นเจ้าของหรือไม่ ?

– เกี่ยวข้องกับญาติคนสนิทของนายชูวิทย์ ที่ชื่อ “นายเปา” จิราวัฒน์ โพธิ์สุวรรณ ที่นายชูวิทย์กาหัวว่าเป็นหลาน แต่เป็นเด็กในบ้าน ที่ทรยศไปเข้ากับ “สารวัตรซัว” จาก คอนเนคชัน รร. ภปร. ? โดย “นายเปา” จิราวัฒน์ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทที่ดำเนินการอาบอบนวด LA LISA ?
ฯลฯ


ทั้งนี้ นายเปา จิราวัฒน์ โพธิ์สุวรรณ หลานนายชูวิทย์มีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ลาลิซ่า 2020 จำกัด ผู้ประกอบการอาบอบนวด LA LISA (โคปาคาบาน่าเดิม ซึ่งเป็นของนายชูวิทย์ แต่ต่อมาขายกิจการให้บุคคลอื่น) โดยบริษัทลาลิซ่า 2020 นี้เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 และเข้าดำเนินการปรับปรุง อาบอบนวดโคปาคาบาน่า ในปีเดียวกัน

มีข้อสังเกตว่านายเปา ยังมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 40% ใน บ.เดวิส โคปา คาบานา จำกัด บริษัทเดิมของนายชูวิทย์ ก่อนขายกิจการอาบอบนวดออกไปด้วย


สอง ประเด็นนี้สำคัญมาก ใครผู้ที่แนะนำ และผู้ที่หิ้วเงินไปให้นายชูวิทย์ ถึงโรงแรมเดวิส

ในช่วงเที่ยงของวันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2566 ที่ รร.เดวิส นายชูวิทย์จัดแถลงข่าว โดยก่อนแถลงได้อัญเชิญรูปปั้นของพระเจ้าตากสินมาพร้อมกับกล่าว สบถสาบานเอาไว้ดังนี้

“สิ่งที่ผมพูดวันนี้ หากผิดจากที่ผมพูดไป ขอให้ฟ้าดินลงโทษผม ให้ผมวิบัติ ให้ผมฉิบหาย ขอให้ไม่มีความสุขความเจริญ แต่ถ้าผมพูดสิ่งใดเป็นความจริง เป็นความจริงเท่านั้น ความจริงหนึ่งเดียว ก็ขอให้ผมเจริญ ขอให้ผมจัดการสิ่งที่ผมตั้งใจได้สมเจตนารมณ์ สาธุ …”


ในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวที่มีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมงในวันนั้น นายชูวิทย์พูดถึงที่มาของ“เงิน 6 ล้านบาท”ดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นนายตำรวจสองคนเป็นคนเอามาให้

รายละเอียดการแถลงชัดเสียยิ่งกว่าชัด เพราะนายชูวิทย์ไม่เพียงพูดถึงชื่อย่อนายตำรวจ 2 คนที่เอาถุงเงินมาให้ แต่ยังเขียนชื่อ ไว้บนกระดานไวท์บอร์ดเองด้วย

นายชูวิทย์พูดเองว่า“เงินในถุง 2 ถุง อันนี้เรื่องสำคัญ 2 ถุง ผมยืนยัน 2 ถุงนั้น ถุงละ 3 ล้าน มีนายตำรวจที่ไม่ได้เป็นตำรวจแล้วหนึ่งคน ชื่อย่อ อ. … อีกคนหนึ่งชื่อย่อ ป. เกษียณอายุแล้ว บุคคลนี้ผมรู้จักมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ผมทำอาบอบนวด ทั้งสองได้มาพบผมพร้อมกับนำเงินมา โดยบอกว่าเงินทั้งหมดนี้ 2 ถุงนี้ 6 ล้าน ยืนยันต่อหน้าพระ ผมได้รับ 6 ล้าน เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง ผมบอกว่า … พี่ … ผมไม่เอานะ ผมรับเคลียร์ไม่ได้ เงินพี่เอามาให้ผมนี่เอากลับไป แต่เงินทั้งหมดนี้ก็ไม่ยอมเอากลับ ยัดเยียดให้ผม ท้ายสุดผมก็บอกว่า พี่ถ้าให้มาอย่างนี้ ผมต้องเอาไปทำอย่างอื่นแล้ว ผมเอาไว้ไม่ได้ เขาก็บอกว่า แล้วแต่ ชูวิทย์จะทำอะไร แล้วแต่ชูวิทย์ …”


เช้าวันถัดมา วันศุกร์ 24 มีนาคม 2566 – ทนายตั้ม ษิทรา ก็เปิดเผยถึงเรื่องนี้ ถุงเงิน และผู้ที่หิ้วเงินไปให้นายชูวิทย์ ที่ รร.เดวิส โดยระบุว่า
“#ชื่นมื่น ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมเดวิส และเป็นวันที่คนของสารวัตรซัว ซึ่ง เป็นเจ้าของเว็บหนึ่ง(คนซ้ายในรูป) เอาเงินไปให้พี่ชูวิทย์ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้วไม่ใช่มีแค่ตำรวจ 2 คนอย่างที่พี่ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์

“คนบนโต๊ะมีทั้งตำรวจระดับนายพล 2 คน (ตามที่พี่บอกกับสังคม)เจ้าของเว็บ กล่องดวงใจ และพี่ชูวิทย์ นั่งเจรจากัน เรื่องเว็บไหนแตะได้ เว็บไหนแตะไม่ได้

“และที่สำคัญตำรวจระดับนายพลที่พี่ชูวิทย์พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง คนนึงเกษียณแล้วเป็นคนสนิทพี่ชูวิทย์เอง ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

“แต่อีกคนไม่ใช่ตำรวจแล้ว พี่พูดความจริงครึ่งเดียว คนนี้มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อคกันทั้งประเทศ ช็อคแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อกที่สองก็คือทำไมพี่ชูวิทย์ต้องปกปิด
“ผมว่าพี่ควรจะเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนะครับว่าคือใคร ถือว่าทำเพื่อชาติ เหมือนที่พี่พูดมาตลอด ผมจะได้เลิกคลางแคลงใจในตัวพี่ซะทีว่าเบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันต่างกันสิ้นเชิง? …”


สรุป : ในช่วง 3 วันแรกคือ วันพุธที่ 22 มีนาคม, วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม และ วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม ที่มีการเปิดโปงเรื่องนี้ออกมา ทั้งฝั่ง “ทนายตั้ม ษิทรา” และ “นายชูวิทย์” แม้จะมีข้อมูลหลายอย่างที่ไม่ตรงกันยกตัวอย่างเช่น จำนวนเงินสดในถุง, มีการจ่ายเงินดิจิทัลด้วยหรือไม่, ประเด็นความเกี่ยวพันกับเรื่องราวต่าง ๆ ของลูกชายนายชูวิทย์ แต่ก็มีการเปิดเผยข้อมูลสอดคล้องกันในหลายประเด็น คือ

1.เงินในถุงกระดาษนั้นมีที่มาจาก“สารวัตรซัว” พ.ต.ท.วสวัตติ์ เจ้าของเครือข่ายเว็บพนันไซส์ XL ในเครือเป็นต่อกรุ๊ป

2.เงินในถุงนั้นเป็น“เงินสีเทา” ที่มีความเกี่ยวโยงกับเว็บไซต์การพนัน หรือ การเปิดอาบอบนวดที่ชื่อ LA LISA ซึ่งชัดเจนว่าเป็นเงินที่มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย / นายชูวิทย์ก็รู้เรื่องนี้ดี จึงพยายามแก้ตัวว่า แม้ตนเองจะรับเงินมา แต่ก็นำไปบริจาคให้โรงพยาบาล 2 แห่งคือ รพ.ธรรมศาสตร์ และ รพ.ศิริราช โดยหวังว่า การนำเงินไปบริจาคโรงพยาบาลดังกล่าวจะทำให้ตัวเองพ้นความผิด และพ้นข้อครหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน

3.ผู้ที่นำเงินสกปรกจำนวน 6 ล้านบาท จาก“สารวัตรซัว” มาให้“นายชูวิทย์” นั้นมีผู้ที่เป็นตำรวจอยู่ 2 นาย
คนหนึ่ง เป็น นายตำรวจยศ พล.ต.ท. ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็น นายตำรวจยศ พล.ต.ต. ซึ่งยังคงรับราชการอยู่ ปปง.

ประเด็นคือ ตำรวจสองนายนี้คือใคร และที่สำคัญอย่างที่ “ทนายตั้ม” ว่าไว้ก็คือนายตำรวจคนหนึ่งนั้น มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อกกันทั้งประเทศ ช็อคแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อกที่สองก็คือทำไมนายชูวิทย์ต้องปกปิดคนๆ นี้

ต่อมามีการเปิดเผยกันตำรวจคนหนึ่งซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว ชื่อย่อ ป.ปลา คือ“ผู้การเปี๊ยก”ตามประวัติ จบนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่น 35 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อดีตรอง ผบ.ตร. และในเวลาต่อมามีการเปิดเผยตามสื่อว่าคือ
พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ อดีตรองจเรตำรวจ (สบ.7) และ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี

โดยในภาพที่ “ทนายตั้ม” โพสต์ “ผู้การเปี๊ยก” พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ นั้นคือ ชายในชุดเสื้อโปโลสีเขียว ส่วนคนที่ยืนข้าง ๆ กันกับ“ผู้การเปี๊ยก” ก็คือ นายบ่อนเจ้าของฉายา“ศักดิ์ พระรามสาม”


เปิดตัว“เอก ปปง.”เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง.

วันจันทร์ 27 มีนาคม 2566 ต้นสัปดาห์ถัดมา นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางไปที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เข้าพบเจ้าหน้าที่ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง เลขาธิการ ปปง. ,พล.ต.ท.เปี๊ยก เกียรติพงศ์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนำเงินจากพ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือ “สารวัตรซัว” อดีตสารวัตรฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สังกัดกองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง เกี่ยวพันกับแก๊งพนันออนไลน์ไปมอบให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำนวน 6 ล้านบาท ในฐานความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542


ในตอนนั้น นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้ได้มาแจ้งความกับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ พร้อมกับ พล.ต.ท.เปี๊ยก และพวกรวม 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับการนำเงินจำนวน 6 ล้านบาท จาก “สารวัตรซัว” ไปมอบให้ “นายชูวิทย์” ให้ทางกองปราบปรามซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดีเอาผิด “สารวัตรซัว” ให้อายัดจำนวน 6 ล้านบาท มาตรวจสอบและเอาผิดกับนายชูวิทย์ ในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน

นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันถูกโอนเข้าบัญชีของ ภรรยา ของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ หลายล้านบาทอีกด้วย

(ซ้าย) นายกานต์ คนเคลียร์หน้าเสื่อให้นายแทนไท ณรงค์กูล เจ้าของเครือข่ายเว็บพนันรายใหญ่ และ (ขวา) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาฯ ปปง


นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า อยากฝากไปถึง ตำรวจยศนายพลทั้ง 2 คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และ พล.ต.ท.เปี๊ยก ว่า รู้จักบุคคลที่อยู่ในรูปภาพที่ตนนำมาแสดงโชว์ด้วยหรือไม่? ซึ่งคนในรูปก็คือนายกานต์ หน้าเสื่อที่คอยเคลียร์เรื่องให้กับนายแทนไท

อีกทั้งยังมีข้อมูลว่า“นายกานต์” เป็นบุคคลที่เข้าไปหานายชูวิทย์อยู่บ่อยครั้ง ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ ระบุว่าได้รับเงินจำนวน 6 ล้านบาทมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ตามที่ชี้แจงกับสื่อมวลชน นายอัจฉริยะระบุว่า ตนไม่เชื่อว่าเป็นวันดังกล่าว เพราะในวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ นายชูวิทย์ได้ไลฟ์สด โจมตีสถานอาบอบนวดของ “นายเปา หลานบุญธรรม” และ “สารวัตรซัว” จนถูกให้ออกจากราชการ จึงตั้งข้อสงสัยว่า น่าจะรับเงินหลังจากนั้น

นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า ตนจะไปแขวนป้ายที่หน้า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้คนในสำนักงานออกมาต่อสู้หลังมีบุคคลเข้าไปทำให้องค์กรเสื่อมเสีย

ซึ่งบุคคลที่ คุณอัฉริยะบอกว่า ทำให้องค์กร ปปง. เสื่อมเสียนั้นก็ไม่ใครที่ไหน แต่เป็น พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ผู้ที่นายชูวิทย์ออกมายอมรับว่าเป็น 1 ใน 2 นายตำรวจที่หิ้วเงิน 6 ล้านบาทเข้าไปให้ที่ รร.เดวิส นั่นเอง


วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2566 นายอัจฉริยะ ก็เดินทางมาแขวนป้ายที่บริเวณกระจกด้านข้าง สำนักงาน ปปง. จริง ๆ โดยข้อความบนป้ายระบุว่า

“สำนักงานปกป้องดูแลพนันออนไลน์แห่งชาติ มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ และคุ้มครองเจ้าของเว็บพนันทั่วประเทศ และรับฟอกเงินให้เจ้าของเว็ปพนันทั่วประเทศทุกเครือข่าย โดยมี รองเลขาธิการ ปปง. รับผิดชอบด้านการเงิน มีนายพลทุกหน่วยงานสนับสนุนให้การดูแล และรับจัดทำงบประมาณและดูแลยอดประจำเดือน โดยมีงบประมาณสำนักงานนี้ ปีละ 1 แสนล้านบาท ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน (ประชด)”

ขณะที่ข้อความส่วนล่างระบุว่า
“แก๊งตำรวจสังกัด พลตำรวจเอก … ทำ ปปง. ฉิบหายมาเยอะแล้ว ให้ข้าราชการที่ ปปง.เขาเติบโตในหน่วยงานเขาบ้างเถอะ ขอเรียกร้องข้าราชการสำนักงาน ปปง. ช่วยกันมาเก็บกวาดบ้านตัวเองเพื่อองค์กร ลุกขึ้นมาสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องสักที” หลังตกอยู่ในแดนสนธยาภายใต้กลุ่มตำรวจนานหลายปี จนหน่วยงานเกิดความเสียหายไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้”

นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังให้สัมภาษณ์ว่า กลุ่มตำรวจในสำนักงาน ปปง. ทำเป็นเครือข่ายเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บพนันออนไลน์ ดูแลเรื่องการเงิน อ้างว่ามีคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาจึงเป็นช่องโหว่ในการเพิกถอนอายัดการเงินบุคคลใดก็ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ สำนักงาน ปปง. ทำงานโปร่งใสและไม่เคยมีข่าวเรียกรับเงินจากคดีพนันออนไลน์ จนกระทั่ง 4-5 ปีที่ผ่านมา

“ส่วนกรณีพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ได้ยอมรับแล้วว่ารู้จักกับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์หรือเจ้าของบ่อนพนัน ย่านพระราม 3 ซึ่งกฎหมาย ปปง. นั้นคนเป็นข้าราชการต้องสำนึกและไม่ควรคบค้าสมาคมกับกลุ่มเว็บพนันเพราะถือว่าผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ต้องสอบถาม พล.ต.ต.เอกรักษ์ มารับตำแหน่งที่ ปปง. เป็นเพราะ นายพล “จ.” เกษียณราชการตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. นรต.35 ส่งมาหรือไม่ เพื่อมาดูแลพนันออนไลน์

“เอก ปปง.” แจ้งความกลับ “อัจฉริยะ” ปฏิเสธไม่สนิท “ชูวิทย์-สารวัตรซัว”

วันที่ 28 มีนาคม 2566 ที่ สน.พหลโยธิน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายอัจฉริยะ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา


พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า การที่นายอัจฉริยะไปแจ้งความดำเนินคดีพร้อมกับพาดพิงตนเองและภรรยาที่กองปราบนั้น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2565 และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนแนะนำให้บุคคลสองคนในภาพที่นายอัจฉริยะเผยต่อสื่อจริง ซึ่งเขาอ้างว่าเขาเป็น FC แฟนคลับของนายชูวิทย์ ก็เลยแนะนำให้สองคนนี้รู้จักกัน เพราะอีกคนรู้จักนายชูวิทย์ ส่วนจะไปพูดคุยกันหรือไปโรงแรมนายชูวิทย์หรือไม่นั้น ตัวเองไม่ทราบ สารวัตรซัว ตัวเองก็ไม่รู้จักมาก่อน แต่หลายปีก่อนมีคนพาคนชื่อซัวมาไหว้ แต่ไม่รู้ว่าคือซัวเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่เคยติดต่อกันหลังจากนั้น

พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวต่อ ในส่วนภรรยาตนที่นายอัจฉริยะกล่าวหาว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์หลายแห่งนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าภรรยาของตัวเองนั้นเป็นเซลขายไม้อัด เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่เกี่ยวข้องกับการรับเงินอย่างแน่นอน


ในส่วนภาพที่ตนถ่ายรูปคู่กับชายคนหนึ่งร่างท้วม(หมายถึง นายกานต์) ที่คุณอัจฉริยะอ้างว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์นั้น ยอมรับว่ารู้จักเพราะเป็นลูกของเพื่อน ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.อ่างทอง และมาขอถ่ายรูปตอนตนไปเป็นอาจารย์สอนสถานศึกษาที่เค้าเรียนอยู่ก็เท่านั้น

“ผมไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว อาจจะเคยพูดคุยกันบ้างแต่นานแล้ว และยืนยันว่าไม่เคยไปที่โรงแรมเดวิส แม้แต่ครั้งเดียว” พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว

รอง เลขาฯ ปปง. กล่าวอีกว่า หากคุณอัจฉริยะมีหลักฐานว่าตนไปจริง สามารถนําหลักฐานหรือกล้องวงจรปิดออกมาชี้แจงได้และขอยํ้าว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการเคลียร์หน้าเสื่อให้กับเว็บพนันออนไลน์หรือพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย เพราะตําแหน่งของตนนั้นเป็นสายงานธุรการ ไม่มีอํานาจในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินใครทั้งนั้น ซึ่งหากพบว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทําความผิดจริง ยินดีลาออกเพื่อรับผิดชอบทันที

พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวอีกด้วยว่า วันนี้มาแจ้งความดําเนินคดีแค่นายอัจฉริยะเพียงคนเดียว ซึ่งข้อหาที่แจ้งในวันนี้คือ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมกับเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจํานวนเงิน 10 ล้านบาท

จะเห็นได้ชัดว่าความสับสน วุ่นวาย ยุ่งยากเริ่มปรากฎแล้ว และแต่ละคนเมื่อยิ่งพูดโกหก ยิ่งแก้ตัว ยิ่งเฉไฉไป ก็จะยิ่งประสบกับความเคลือบแคลงสงสัย และความฉิบหายวายวอดมากขึ้นเท่านั้น

เพราะสิ่งที่ นายชูวิทย์ และ พล.ต.ต.เอกรักษ์พูดนั้นเริ่มไม่สอดคล้องกันแล้ว ซึ่งคำพูด-หลักฐานเหล่านี้ในเวลาต่อมาก็กลายเป็นสิ่งที่บีบรัดทั้งสองคน ให้ต้องยอมรับกับความจริงที่ทั้งคู่ต่างหนีไม่พ้น


เอาล่ะ ก่อนเราจะไปถึงบทต่อไป ผมขอเล่าถึงพื้นเพของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ รองเลขาฯ ปปง. ก่อนว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร และไปรู้จักกับคุณชูวิทย์ได้อย่างไร?

ประวัติย่อ “เอก ปปง.” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาฯ ป.ป.ง.

พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2508(อายุ 58 ปีพอดี) เป็นบุตรของ พ.อ.พิเศษ สุทัศน์ ลิ้มสังกาศ เรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 (นรต.41) เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น

  • ผู้กำกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผกก.สส.บก.น.6)
  • ผู้กำกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 (ผกก.สส.บก.น.9)
  • ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน (ผกก.สน.มักกะสัน)โดยจากข้อมูลวงในระบุว่า ช่วงนี้นี่เองที่ทำให้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ รู้จักมักคุ้นกับนายชูวิทย์ เพราะในเวลานั้น นายชูวิทย์เป็นเจ้าของอาบอบนวด ฮอนโนลูลู ซึ่งอยู่ในพื้นที่ความดูแลของ สน.มักกะสัน
  • รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบก.อก.บช.น.)
  • ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง (ผบก.ภ.จว.อ่างทอง)
  • รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)
  • รองโฆษก บช.น. สมัย พล.ต.อ.ศรีวราห์ พราหมณกุล เป็น ผบช.น.

(แฟ้มภาพ) พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ พราหมณกุล เป็น ผบช.น. ในปี 2557
จากนั้น ตุลาคม 2561 -พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 6 (รอง ผบช.ภ.6) ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างรวม 9 จังหวัด โดยในช่วงที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ดำรงตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.6 นี้เองมีข่าวใหญ่อึกทึกครึกโครมมากนั่นคือ กรณี “ผู้กำกับโจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวกรวม 7 คน ลงมือฆ่าผู้ต้องหาคดียาเสพติดด้วยการคลุมถุงดำ โดย เหตุเกิดในช่วงระหว่าง วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ซึ่งปีที่แล้ว วันที่ 8 มิถุนายน 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษาประหารชีวิต ผกก.โจ้ กับพวกบางส่วนไปแล้ว


คำถามที่น่าสนใจต่อมาก็คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปเกี่ยวข้องอะไรกับคดี ผกก.โจ้ คลุมถุงดำ ฆ่าผู้ต้องหาคดียาเสพติด?

คำตอบก็คือ ทั้งสองคนรู้จักและสนิทสนม และไว้วางใจกันอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ ตอนที่ ผกก.โจ้ ซึ่งหลบหนีการจับกุมอยู่ จะเข้ามอบตัวนั้นได้ติดต่อไปที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์

วันที่ 26 สิงหาคม 2564 – ก่อนที่ “ผกก.โจ้” จะเข้ามอบตัว พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่าในช่วงกลางดึกวันที่ 25 สิงหาคม พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือผู้กำกับโจ้ ได้โทรศัพท์ติดต่อตน มีความเครียด ต้องการฆ่าตัวตาย ตัวเองก็เลยแนะนำให้มามอบตัว พร้อมนัดหมายมอบตัวกันที่หน้าสถานีตำรวจภูธรแสนสุข จังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 16.00 น. ก่อนจะถูกนำตัวมาสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมที่กองบังคับการปราบปราม


ข้อมูลข้างต้นพิสูจน์ชัด แน่นอนว่า ทั้ง 2 คนคือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และ ผกก.โจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ นั้นต้องสนิทสนมและไว้วางใจกันในระดับสูง จึงเกิดเหตุการณ์ดังข้างต้นได้ โดยความสนิทสนมดังกล่าวได้ชักนำมาสู่ความขัดแย้งของทั้งสองคนเกี่ยวกับทรัพย์สินของ ผกก.โจ้ ในภายหลัง

ทั้งนี้ รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ตอนที่ 146 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565 เคยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลความร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีของผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ว่ามีเงินมากมายมหาศาล โดย ป.ป.ช. ตรวจพบเกือบ 1,400 ล้านบาท มีบ้านหรูหราใหญ่โต รถยนต์ราคาแพงเป็นสิบๆ คัน ไม่ว่าจะเป็น Ferrari, Lamborghini, Porsche, Mini Cooper, Benz, Volkswaken ทั้งๆ ที่เป็นตำรวจแค่ระดับผู้กำกับ อายุเพียงสี่สิบต้นๆ เงินเดือน 43,330 บาท พื้นเพครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หรือเคยประกอบธุรกิจอะไรจนประสบผลสำเร็จ


“นี่คือตำรวจหนุ่มนายหนึ่ง รับราชการมาแค่สิบเจ็ดปี ถูกจับตอนอายุ 41 มีเงิน 1,500 ล้านบาท ในชื่อเขาเอง ไม่ได้มีในชื่อคนอื่น ยังไม่นับทรัพย์สินที่ซุกซ่อนหรือฝากเอาไว้กับนอมินีอีกไม่รู้กี่คน อีกไม่รู้กี่ร้อยล้านบาท ผมดูแล้วขบวนการแบบนี้ จำนวนเงินที่เข้ามาแบบนี้ ระยะเวลาที่เงินเข้าแบบนี้ คงไม่น่าจะเอี่ยวกับขบวนการยึดหรือจับประมูลรถยนต์เถื่อนเท่านั้น”

“ผมอนุมานได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับขบวนการทำผิดกฎหมายอย่างอื่น เช่น ยาเสพติด ค้าของเถื่อน ค้าแรงงานเถื่อน การพนันออนไลน์ แน่นอนว่าแค่ผู้กำกับโจ้คนเดียวไม่อาจจะทำได้ น่าจะมีขบวนการใหญ่ที่มีผลประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลัง เผลอๆ เงินที่ผู้กำกับโจ้ฝากเอาไว้นั้น อาจจะเป็นเงินก่อนที่จะนำมาแบ่งกับหลายๆ คนที่อยู่เบื้องหลัง แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น และนี่คือความจริงของระบบข้าราชการไทย ของตำรวจไทยบางนาย”


หลังจากดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 6 (รอง ผบช.ภ.6) ตั้งแต่ปี 2561 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้มีการชงเรื่อง เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณารับโอน พล.ต.ต.เอกรักษ์ จากตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.6 มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ป.ป.ง. โดย ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ นายวิษณุเสนอไปเมื่อ วันที่ 12 กรกฎาคม 2565

ต่อมา เมื่อ วันที่ 18 สิงหาคม 2565 พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการ ป.ป.ง.


บุคคลในครอบครัวของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ถือเป็นตัวละครที่สำคัญที่เชื่อมโยง และพัวพันเกี่ยวกับการกระทำผิดต่าง ๆ พล.ต.ต.เอกรักษ์ เดิมทีเป็นพ่อม่าย มีลูกชายกับอดีตภรรยา 1 คน ชื่อว่า“เบิร์ธ” ภานุรุจ ลิ้มสังกาศโดยภรรยาคนปัจจุบันมีชื่อเล่นว่า“ดา” นางชลลดา ลิ้มสังกาศ โดยกับภรรยาคนนี้ “รองเอก ปปง.” ก็มีบุตรอีก 2 คน รวมทั้งสิ้น พล.ต.ต.เอกรักษ์มีบุตร 3 คน

“ดา ชลลดา” คนนี้นี่เองที่ คุณอัจฉริยะกล่าวหาว่าเป็นภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งเว็บพนันออนไลน์ เพราะมีเงินโอนเข้าบัญชีจำนวนมาก ทำให้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ออกมาปฏิเสธเสียหลงกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่จริง เพราะภรรยานั้นเป็นเพียง“เซลล์ขายไม้อัด”!


“ชูวิทย์” หลุด ถ้า ปปง. จะสอบตัวเองเรื่องฟอกเงิน ก็สอบไปเลย เพราะโยงกับ คนใน ปปง. เอง!

คำปฏิเสธเสียงแข็งของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ว่า“ผมไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว …” นั้นดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ค่อนข้างเชื่อได้ยาก เพราะก่อนหน้านั้นนอกจากการออกมา ยอมรับโดยดุษณี พร้อมกับเขียนชื่อย่อ นายพลตำรวจ อ.อ่าง คู่กับนายพลตำรวจ ป.ปลา บนกระดานไวท์บอร์ด ระหว่างการแถลงข่าวที่โรงแรมเดวิส เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 แล้ว

ในวันเดียวกันทาง สำนักงาน ปปง. โดย นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ยังออกแถลงการณ์ต่อสื่อด้วยว่า ตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวกรณีมีบุคคลนำเงินที่ได้จากผู้กระทำความผิดมูลฐานไปบริจาคให้แก่โรงพยาบาล จำนวน 2 แห่ง “จำนวน 6 ล้านบาท” มีข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เป็นเงินจากผู้ที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดเกี่ยวกับพนันออนไลน์ สำนักงาน ปปง. จึงจะดำเนินการพิจารณาเรื่องนี้ใน 2 ประเด็นคือ

ประเด็นที่ 1 เงินบริจาคดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่?

ประเด็นที่ 2 มีพฤติการณ์การกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินหรือไม่?


ซึ่งเมื่อ นายเทพสุ เลขาฯ ปปง. ออกแอกชันมาเช่นนี้ก็ทำให้ ในวันเดียวกันคือ ใน ช่วงค่ำของวันที่ 24 มีนาคม 2566 นายชูวิทย์รีบออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ทันที โดยใช้หัวเรื่องว่า “คนสีเทา” โดยตอนหนึ่งพาดพิงถึง การตรวจสอบของ ปปง. กรณีความผิดของตนข้อหาฟอกเงินฯ ระบุว่า

“ล่าสุด ปปง. จะตรวจสอบผม ชอบครับ เพราะก็คนในนี้ล่ะครับ ไม่ได้ไกลที่ไหนเลย ห่างกันแค่ไม่กี่โต๊ะ”

ด้วยเหตุเหล่านี้นี่เอง จึงเป็นเรื่องยากที่แม้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ จะปฏิเสธอย่างไรก็ตามว่า ไม่รู้จักกับนายชูวิทย์เป็นการส่วนตัว แต่จากคำพูด ข้อเขียน และหลักฐานต่าง ๆ นา ๆ ที่ออกมาจาก นายชูวิทย์ กลับเป็นตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง กับที่ นายตำรวจใหญ่ระดับ พล.ต.ต. ที่โอนย้ายมานั่งเป็นรองเลขาธิการ ปปง. ซ้ำในช่วงหนึ่งยังเคยตกเป็นข่าวว่ากำลังจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง.เ พยายามจะบอกกับสังคม

“ก๊วนชูวิทย์ – เอกรักษ์” กับ เกมยึด ปปง.

ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการตำรวจจะทราบดีว่า อยู่ดีๆ ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาที่นายตำรวจคนหนึ่งจะข้ามห้วยมานั่งกินตำแหน่งใหญ่ในสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.เพื่อปูพื้นในการขึ้นไปเป็นเลขาธิการ ปปง. ตำแหน่งของเลขาธิการ ปปง. นั้นเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มาก มีอำนาจล้นฟ้า จะตรวจสอบใครก็ได้ ไม่ตรวจสอบใครก็ได้ จะละเว้นใครก็ได้ จะเล่นงานใครก็ได้

ทั้งนี้ เมื่อค้นข้อมูลย้อนหลังไปเมื่อปีที่แล้ว ปี 2565 จะพบเจอคอลัมน์จากสื่อหลายสำนักเช่น ไทยรัฐ คมชัดลึก ฟันธงเลยว่า การย้าย พล.ต.ต.เอกรักษ์ มาจาก รองผบช.ภ. 6 นั้นก็เพื่อเตรียมแต่งตัวขึ้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ ปปง. คนต่อไป!


คมชัดลึก :คอลัมน์ ส่องตำรวจ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 โดยหนึ่งตะวัน พันดาว พาดหัวว่า”ยุคทอง”สีกากี” ทำไมต้องดัน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ นั่งเก้าอี้ เลขาฯ ปปง.”เขียนว่า

“ยุคทอง..“สีกากี”ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติรับโอน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบช.ภ.6 ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตามที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอ “ปะองค์ทรงเครื่อง” เตรียมรับตำแหน่ง “เลขาธิการ ปปง.” แทน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ที่จะเกษียณราชการ 30 กันยาฯ 2565”


ไทยรัฐ : คอลัมน์กากบาท เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ก็ระบุเช่นกันว่า

“อีกข่าวดีของตำรวจกับว่าที่เลขาฯ ปปง. … พล.ต.ต.ปิยพันธุ์ ปิงเมือง เลขาฯ ปปง. เกษียณ มีชื่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบช.ภ.6 เป็นตัวเลือก … พล.ต.อ.สุวัฒน์ ลงนามคำสั่งโอน พล.ต.ต.เอกรักษ์ เป็นรองเลขาฯ ปปง.รอจ่อคิวนั่งเก้าอี้ใหญ่ เลขาฯ ปปง. … เป็นนายตำรวจอีกคนที่ถูกเลือกใช้งาน

คำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมจึงเกิดเกมการยึด ปปง. และเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก ณ เวลานี้?

คำตอบ ถ้าจำ “แผนผังอาณาจักรพนันออนไลน์” ที่เคยแสดงในรายการนี้ และเฟซบุ๊กจะเห็นได้ว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. นั้นเป็น 1 ใน 4 องค์กรหัวใจ ภาครัฐที่มีภารกิจโดยตรงในการปราบปรามบรรดาเว็บพนัน และอาชญากรรมออนไลน์ ทั้งหลาย ร่วมกับ ตำรวจไซเบอร์, ดีเอสไอ และกระทรวงดีอี


หากอำนาจในการบริหารจัดการ ปปง. ไปตกอยู่ในมือใคร ถ้าเป็นคนดีประเทศชาติก็รุ่งเรือง ถ้าเป็นคนชั่ว โจรก็ครองเมือง พ่อค้ายาเสพติด พ่อค้ามนุษย์ เจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็กลายเป็น “เสือติดปีก”

ด้วยเหตุนี้เก้าอี้ผู้บริหาร ปปง. โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. จึงมีความหอมหวานมากเป็นพิเศษ โดยใคร ๆ ก็อยากส่งพรรคพวก หรือ คนของตัวเองมานั่ง เพื่อที่จะครอบครองอำนาจตรงนี้ได้

ย้อนคดีดัง จับอดีตนางเอกกับสามี “แยม-อั้ม” เข้าทาง “ชูวิทย์” ตีเมืองขึ้น ปปง. เด้ง “ปิยะพันธ์”

ย้อนรอยไปเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2565 มีกรณีบุกจับสองสามีภรรยาเจ้าของเว็บพนันใหญ่นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้บุกจับเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ www.ufa24h.net และเว็บไซต์ที่เผยแพร่ภาพยนตร์ การแข่งขันฟุตบอล และ หนังโป๊เถื่อน โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายภูมิพัฒน์ หรืออั้ม ประเสริฐวิทย์ อายุ 42 ปี นายเชษฐ์ชัย หงส์คำ อายุ 38 ปี น.ส.ธมลพรรณ์ หรือแยม ภานุชิตพุทธิวงศ์ อายุ 40 ปี นางเอกละครพื้นบ้านชื่อดัง ในข้อหา“ร่วมกันเผยแพร่ภาพสื่อลามกอนาจาร, ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือชักชวนผู้อื่นให้พนันออนไลน์, สมคบเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน”


ตอนนั้นเอง นายชูวิทย์ที่กำลังง่วนลุยอยู่กับเรื่องของ“ตู้ห่าว ทุนจีนสีเทา” ที่กินเวลายาวนานมาเป็นเดือน และกระแสกำลังซาลง ก็ได้ทีกระโดดลงมาเล่นเรื่องนี้ด้วย

โดยในการแถลงข่าวเมื่อ วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิง สุขุมวิท นายชูวิทย์ ได้เขียนชื่อชาร์ตในกระดาษระหว่างการแถลงข่าว โดยระบุว่า“อั้ม Psv”หรือ“อั้ม ภูมิพัฒน์”รวมถึง“นายแทนไท”

การแถลงข่าวครั้งนั้น นายชูวิทย์ระบุด้วยว่า นายอั้ม ภูมิพัฒน์ นอกจากจะเป็นเจ้าของเว็บพนัน เว็บหนังเถื่อน เว็บถ่ายทอดสดฟุตบอลเพื่อน เว็บโป๊ ใหญ่ระดับประเทศที่มีเงินหมุนเวียนเดือนละหลายพันล้านบาท แล้ว เจ้าตัวยังมีความสนิทสนมเป็นเด็กในคาถาของ“บิ๊กปิง” ผู้บริหารของสำนักงาน ปปง. ซึ่งนายชูวิทย์ ระบุชัดเจนว่า คือ พล.ต.ต.ปิยพันธ์ ปิงเมือง เลขาฯ ปปง. และยังเป็นหน้าเสื่อคอยวิ่งเต้นเคลียร์ตั๋ว หรือเงินสินบนกับทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ปปง. ให้กับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์เครือข่ายใหญ่ๆ อีกหลายสิบเว็บ


รวมถึงเป็นหน้าเสื่อ เคลียร์ตำรวจทุกหน่วย ที่มีอำนาจจับเว็บพนันออนไลน์ รวมไปถึงDSIโดยทำงานแบบวันสต็อปเซอร์วิส ทุกเว็บถ้าผ่าน “อั้ม ภูมิพัฒน์” ทุกอย่างสะดวกโยธิน

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังออกมาโหมโรงเปิดโปง“อั้ม ภูมิพัฒน์” ด้วยว่า มีหลักฐาน ยืนยันความสนิทชิดเชื้อ ของ“อั้ม ภูมิพัฒน์-บิ๊กปิง” เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ที่จับภาพ “อั้ม ภูมิพัฒน์” เข้าออก สำนักงาน ปปง. เป็นว่าเล่น หิ้วเหล้าดีๆ ไวน์ชั้นเยี่ยมขึ้นชั้น 3 อยู่บ่อยครั้ง ระยะหลังถึงขั้นนั่งดื่มนั่งดริงก์กันเลย โดยมีเด็กเอนฯ คอยชงเหล้า และลูกสมุนของบิ๊กปิงที๋โตข้ามหัวคน ปปง. มานั่งบริการ

ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 นายชูวิทย์ ยังสำทับด้วยว่า เมื่อการบริหารงานใน ปปง. เป็นอย่างนี้แล้ว ตนจึงขอเปลี่ยนชื่อ ป.ป.ง. เป็น ป้องปิงเงิน

พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง หรือ ปิง ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ง. ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ง. แม้ว่าจะเกษียณจากตำแหน่งเลขาฯ ไปแล้ว แต่อิทธิพลยังคงอยู่ ยึดครองสำนักงาน ป.ป.ง.อยู่ ต้องลาออก

นอกจากนี้ นายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ป.ป.ง. รักษาราชการแทนเลขาธิการฯ ให้ลาออกไปพร้อมกันด้วย


ทั้งนี้ เทพสุ บวรโชติดารา ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการ ปปง. เป็นข้าราชการพลเรือนที่ไม่ใช่ตำรวจคนแรกที่ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ปปง.
นายชูวิทย์ ยังสำทับด้วยว่า หาก “บิ๊กปิง” พล.ต.ต.ปิยพันธ์ ไม่ยอมลาออก ตนเองก็มีหลักฐานเด็ดที่จะแฉเพิ่มเติมอีก

หลังจากนั้นเพียง 3 วันคือ วันที่ 19 ธันวาคม 2565 นายชูวิทย์ ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธาน ปปง. แล้วโดยอ้างว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ หลังถูกพาดพิง พร้อมกับโพสต์ภาพเอกสาร โดยนายชูวิทย์ยังเขียนชื่นชม พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ด้วยว่า

“ประธาน ปปง. ลาออก ผมพาดพิงถึงประธาน ปปง. และทำให้ท่านตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ต้องยอมรับว่าเป็น “ลูกผู้ชาย” ชื่นชมความกล้าหาญในการตัดสินใจ

“เมื่อประชาชนไม่มีตำแหน่งแห่งหนอย่างผมพูด และท่านไม่ตอบโต้ ไม่ปฏิเสธ ไม่กอดอำนาจเอาไว้ หรือแม้แต่แก้ตัวต่อหน้าสื่อ กลับตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวลาออกโดยทันที

“ถือว่าเป็นวิถีทางที่หาได้ยากยิ่งสำหรับคนมีอำนาจในสังคมไทยทุกวันนี้ เพื่อตอบข้อครหา และพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิไร้ซึ่งตำแหน่งเป็นเกราะป้องกัน …”


ในเวลานั้นผู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวจับไม่ได้ไล่ไม่ทันว่านายชูวิทย์กำลังเล่นเกมอะไรอยู่ ก็ออกมาปรบมือเชียร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีเหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าความจริงมีหนึ่งเดียว

การกระทำของคุณชูวิทย์ ในการไล่บี้ “บิ๊กปิง” พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ให้ลาออกนั้น จริง ๆ แล้วมิได้เป็นการปัดกวาด หรือ ล้างบ้าน สำนักงาน ปปง. ให้สะอาดขึ้นแต่อย่างใด

โดยความจริงแล้ว แต่เป็นการกระทำที่มีวาระซ่อนเร้น เป็นเกมการแย่งชิงอำนาจใน ปปง. ซึ่งได้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างละเอียดก็จะพบว่า ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 ของนายชูวิทย์ไม่ได้ไล่ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ประธาน ปปง. เพียงคนเดียว แต่มีการขับไล่ นายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. รักษาราชการแทนเลขาธิการฯ ปปง. ด้วย !!!

ถามว่า ในเชิงลึกแล้ว นายชูวิทย์ออกโรงขับไล่ ผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. ทั้งสองคนเพื่ออะไร?

คำตอบแบบสั้นๆ แต่ได้ใจความ ก็คือ เพื่อเปิดทางสะดวกให้“พลตำรวจตรี อ.” หรือพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ผู้รู้จักมักคุ้นกับนายชูวิทย์เป็นอย่างดี สามารถผงาดขึ้นมาเป็น เลขาฯ ปปง. ได้อย่างสะดวกโยธิน

สรุปก็คือ การแฉความเน่าเฟะใน ปปง. ครั้งนั้นของนายชูวิทย์ที่ประชาชนทั่วไป ที่แฟนคลับ FC นายชูวิทย์ออกมาสรรเสริญเยินยว่านายชูวิทย์เป็นฮีโร่ เป็นผู้กล้า เป็นจอมแฉ สรุปแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือ “เพื่อนก๊วนชูวิทย์” ส่วนประชาชนคนไทย ก็เรียกได้ว่า“หนีเหี้ย” มา“เจอห่า” ก็คงไม่ผิดนัก

เกม#Saveเอกปปง จับโกหก “ชูวิทย์” ปมถุงเงินสีเทา แจง 4 ครั้ง ไม่เหมือนกันสักครั้ง

แต่อย่างที่สุภาษิตโบราณเขาว่าเอาไว้ “คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต” แม้ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง จะชิงลาออกจากตำแหน่งประธาน ปปง. ตามคำขู่ของนายชูวิทย์ แต่นายเทพสุบวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. รักษาการแทนเลขาธิการ ปปง. ไม่ได้บ้าจี้ลาออกตามไปด้วย

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 วุฒิสภาประชุมลับ มีมติเสียงข้างมาก 124 เสียง ต่อ 52 เสียง ให้ความเห็นชอบ นายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง.

ขณะที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. อีกคนที่ได้รับการหมายมั่นปั้นมือและการสนับสนุนจากนายชูวิทย์ และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ตั้งแต่มีการย้ายข้ามห้วยจากสังกัดตำรวจ มานั่งตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง. หวังว่าจะมีโอกาสก้าวขึ้นตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ต้องกินแห้วไปโดยปริยาย

มิหนำซ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน จากเหตุการณ์ถุงเงินสีเทา 6 ล้าน ของนายชูวิทย์ ส่งผลกระทบกลายเป็นประกายไฟไหม้ลุกลามไปถึงตัว พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปถึงครอบครัว ทั้งภรรยา คือนางชลลดา ลิ้มสังกาศ และลูกชายคนโตที่ชื่อ เบิร์ด ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ

มีความเป็นไปได้สูงว่ารองฯ เอก อาจจะต้องหลุดออกจากวงจร ปปง. อาจจะถูกย้ายขาดไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี และจะต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีก ส่วนจะได้ออกจากราชการหรือถูกดำเนินคดี ติดคุกติดตะราง หรือมีมลทินติดตัวจบชีวิตราชการนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินคดีที่ขณะนี้กองปราบปรามกำลังมุ่งมั่นและเร่งหาหลักฐานเพิ่มเติม

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มก๊วนของคุณชูวิทย์จึงสุมหัวกันก่อให้เกิดภารกิจ “Save เอก ปปง.” ขึ้น เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่นายชูวิทย์ทำปืนลั่นใส่ตีนตัวเองกรณีถุงเงิน 6 ล้าน ซ้ำร้ายกระสุนที่ลั่นใส่ตีนตัวเองนั้นยังกระทบชิ่งไปโดนมิตรสหายในกลุ่มด้วย

การเดินหมากแก้เกมแรกนั้นหนีไม่พ้นต้องตัดพลตำรวจตรี อ. ออกจากวงจรอื้อฉาวเรื่องถุงเงิน 6 ล้านบาท เสียก่อน ซึ่งการที่จะตัดพลตำรวจตรี อ. ออกไปจากถุงเงิน 6 ล้านบาท นำมาสู่การพลิกลิ้นของนายชูวิทย์ เกี่ยวกับที่มาที่ไปของถุงเงิน 6 ล้านบาท ที่พูดกี่ครั้งก็ไม่ตรงกันสักครั้งเลย

นายชูวิทย์กลับกลอกพลิกลิ้นแจงถุงเงิน 6 ล้านบาท 4 ครั้ง 4 เรื่อง


ครั้งที่ 1 พุธที่ 22 มีนาคม 2566 หลังจากทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์เรื่อง “แฉไป ไถไป” พร้อมภาพถุงเงิน คืนวันเดียวกันนายชูวิทย์รีบออกมาสารภาพ ระบุว่า “แฉไป ไถไป” ที่ทนายตั้มพูดนั้น จำได้ชัดเจน บอกเรียบร้อยเลยว่าเงินทั้งหมด 6 ล้านบาทนั้น เป็นเงินสีเทาจริง

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม แถลงข่าวว่าเงินในถุง 2 ถุง “ผมยืนยันว่าถุงละ 3 ล้าน มีนายตำรวจที่ไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว หนึ่งคน ชื่อย่อ อ. (ความหมายก็คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ นั่นเอง) อีกคนหนึ่งชื่อย่อ ป. เกษียณอายุแล้ว บุคคลนี้ผมรู้จักมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ผมทำอาบอบนวด ได้มาพบผมพร้อมกับนำเงินมา โดยบอกว่าเงินทั้งหมดนี้ 2 ถุงนี้ 6 ล้าน ยืนยันต่อหน้าพระ ผมได้รับ 6 ล้าน”


ครั้งที่ 2
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 นายชูวิทย์ ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทยฯ โดยนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ “หมาแก่”
ชูวิทย์ : ก็มีตำรวจ 2 คน คือผู้การเปี๊ยก กับอีกคนหนึ่งละกัน
ดนัย : ผู้การเปี๊ยก พลตำรวจตรี อ.อ่าง (อยู่ด้วย) โอเค
ชูวิทย์ : แล้วคุณถ่ายวันไหนผมไม่รู้ แล้วส่วนที่คุณจะมีอะไรอีก นี่ นี่ คุณดนัย ผมนี่ของแข็ง คุณษิทรา เบี้ยบังเกิดเนี่ย เด็กๆ อยากจะทำอะไรเนี่ยคุณทำได้เลย คุณคิดเหรอที่เมื่อวานคุณโพสต์มาแล้วผมจะเดือดร้อน ผมไม่ได้เดือดร้อน แต่ปัญหาก็คือ ผมไม่เข้าใจว่าคุณต้องการอะไร คุณถึงมาแฉในช่วงนี้ คุณจะให้ผมหยุดเหรอ


ครั้งที่ 3
วันที่ 28 มีนาคม 2566 นายชูวิทย์แถลงข่าวหลังจากที่ยืนยันว่า พลตำรวจโท ป. และ อ. หิ้วถุงเงินมา ครั้งนี้ปฏิเสธว่า พล.ต.ท.เปี๊ยก นำเงินมา แต่ พลตำรวจตรี อ. ไม่ได้มาด้วย เพียงแต่พลตำรวจตรี อ. เป็นผู้แนะนำมา

“คนๆ เดียวกันครับ แต่ผมไม่ได้เจอพี่ ป. เป็นคนบอก อ. เป็นคนแนะนำมา ตำรวจ ป. รู้จักกับผมมาสามสิบปี ผมมีความเกรงใจ เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ผมถามว่า เอ๊ะ มากันยังไง มาได้อย่างไร ก็บอกว่ามาด้วยการแนะนำของ อ. ไม่ได้หมายถึงตัวเขานะ หมายถึงเงินที่มา มีการแนะนำกันมา เพราะเขาอยากจะเอามาให้ผมทำบุญ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็ไปทำอยู่ คุณไปเช็กดูได้ แล้วก็สาบานว่าไม่เคยเจอพลตำรวจตรี อ. อีกเลย”

เมื่อถามว่า อ. เป็นคนถือถุงเงินเข้าไปที่โรงแรม นายชูวิทย์ตอบว่า “ไม่มี จะมีได้อย่างไร อ. มันมีคนเอามาคือ ป. คุณต้องไปถาม ป. คุณมาถามผมก็ต่อเมื่อผมเจอ ป. แล้ว ผมจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อ ป. เขาบอกอย่างนั้น ผมก็ต้องฟังอย่างนั้น ผมก็มัวแต่ตื่นเต้นกับเงิน 2 ถุง บอก เฮ้ยพี่ ผมไม่เอานะ ตั้ง 6 ล้าน”


ครั้งที่ 4
นายชูวิทย์พลิกลิ้นจากเงินสีเทาของสารวัตรซัว กลายเป็นเงินฝากทำบุญ ค่าที่ปรึกษาทำอาบอบนวด เปลี่ยนจาก 3 กุมภาพันธ์ 2566 มาเป็น 30 มีนาคม 2565 เปลี่ยนไปปีหนึ่ง

วีนศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 หลังจากที่นายชูวิทย์เข้าพบ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) เพื่อนำเงินจำนวน 6 ล้าน ไปส่งมอบตำรวจ ให้ยึดไว้เป็นหลักฐาน แล้วให้ปากคำชี้แจงที่มาของเงิน นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มากองปราบฯ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเงินที่ได้ทั้งหมดยินดีจะคืนกลับไปยังต้นทาง ซึ่งเงินนี้ผู้ให้ตั้งใจจะทำบุญอยู่แล้ว


“เงินก็คือเงิน แต่ถ้าถามว่าที่มาของเงินมาจากไหน ต้องไปถามนายพล ป. ทั้งนี้ ยืนยันว่าเงินก้อนนี้มันไม่ใช่การขู่เข็ญ ไม่ได้ให้ในที่หลบซ่อนออฟฟิศตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ให้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ขณะนั้นผมอยู่ที่จังหวัดปทุมธษนี พักผ่อนอยู่ ซึ่งติดต่อมาอยากจะทำบุญ จนกระทั่งต้นปี 66 ผู้ที่นำเงินมาติดต่ออยากจะทำธุรกิจอาบอบนวด อยากปรึกษาผมเพราะมีความรู้เรื่องนี้”

แผน#Saveเอกปปง พังครืน เมียพัวพันเว็บพนัน Kingpin88 ลูกลักรถ ผกก.โจ้ ขาย

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต แม้กลุ่มก๊วนของนายชูวิทย์ ไม่ว่าจะเป็นนายตำรวจใหญ่ที่ยืนคุมเกมอยู่เบื้องหลัง จะพยายามทำเช่นไรก็ตาม แต่“ความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”


ความจริงประการแรก“ดา” ชลลดา ลิ้มสังกาศ ภรรยา พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไม่ได้เป็นแค่เซลส์ขายไม้อัด หรือ เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา แต่มีเรื่องพัวพันเว็บพนันระดับเส้นก๋วยจั๊บที่ชื่อKingpin88.com

ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์นางชลลดา ลิ้มสังกาศ(นามสกุลเดิม สังขวร) จบการศึกษาจา ม.เกษตรศาสตร์ สาขาส่งเสริมนิเทศศาสตร์เกษตร เธอมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นเจ้าของโรงพิมพ์แห่งหนึ่ง ที่ใช้ชื่อนิติบุคคลว่าบริษัท คอมโพส พับลิชชิ่ง จำกัด


ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 หรือปีที่แล้วนี้เอง ตำรวจ สน.บางขุนเทียน เข้าตรวจค้นบริษัท คอมโพส พับลิชชิ่ง จำกัด ในซอยเอกชัย 89/1 เขตบางบอน กทม. หลังจากสืบพบว่าฉากหน้า เป็นธุรกิจโรงพิมพ์ รับจ้างพิมพ์กล่อง และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ แต่ฉากหลัง บริษัทแห่งนี้ กลับเป็นที่ตั้งของเว็บพนันออนไลน์ Kingpin88.com โดยตำรวจบางขุนเทียน จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ยึดทรัพย์สินได้หลายรายการ โดยเฉพาะเงินสด มีมากถึง 27 ล้านบาท

การจับกุมเว็บพนันดังกล่าว มีส่วนที่มาเกี่ยวข้องกับนางชลลดา ลิ้มสังกาศ ก็คือ นางชลลดา ดันมีชื่อเป็นเจ้าของ “โรงพิมพ์ คอมโพส” แห่งนี้ ถือหุ้นจำนวนถึง 35% จำนวน 7 พันหุ้น โดยหุ้นส่วนที่มีอีก 2 ราย รายหนึ่งถือหุ้น 7 พันหุ้น และอีกราย 6 พันหุ้น รวมทั้งหมด 2 หมื่นหุ้น


ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลทางธุรกิจของโรงพิมพ์ “คอมโพส” จัดตั้งเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2553 ประกอบธุรกิจ กิจการออกแบบ ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท มีชื่อน.ส.ชลลดา สังขวร เป็นกรรมการบริษัท มาแต่แรก

ชื่อน.ส.ชลลดา สังขวร ปรากฏในเอกสารของบริษัทเรื่อยมา พอถึงปี 2564 ก็เปลี่ยนชื่อมาใช้นามสกุลลิ้มสังกาศนางชลลดา ลิ้มสังกาศ ของ พล.ต.ต.เอกรักษ์


เมื่อตำรวจ สน.บางขุนเทียน บุกทลาย “โรงพิมพ์คอมโพส” เว็บKingpin88.com จึงล่มสลายไป เช่นเดียวกับกิจการโรงพิมพ์ ก็ต้องยุติไปด้วย แต่ชื่อนางชลลดา ลิ้มสังกาศ ยังปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ใน บ.คอมโพส พับลิชชิ่ง จนถึงเดือน กรกฎาคม 2565 ก่อนจะถูกเปลี่ยนมือ เป็นชื่อคนอื่นแทน ในเดือนมกราคม 2566 หรือเมื่อ 3 เดือนมานี้เอง

ในเอกสารการถือครองหุ้น ระบุด้วยว่า นางชลลดา เป็นนักธุรกิจที่ถือหุ้นไม่ใช่แค่โรงพิมพ์นี้ที่เดียว แต่ยังมีที่อื่นด้วยจำนวน 2 แห่ง โดยอีก 1 แห่งเลิกกิจการไปแล้ว คือบ.มาล้างรถ จำกัด ประกอบกิจการ การบำรุงรักษายานยนต์ทั่วไป(ถือหุ้นอยู่จำนวน 6,000 หุ้น คิดเป็น 60%)บ.อินโปร โซลูชั่น (2012) จำกัด ประกอบกิจการ การขายส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น(ถือหุ้นอยู่จำนวน 4,000 หุ้น คิดเป็น 40%)บ.อธิวัฒน์ การพิมพ์ จำกัด(เลิกกิจการไปแล้ว)


การกระทำของพนักงานที่ดันเอาบริษัทไปทำเว็บพนันคงเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ เรื่องโรงพิมพ์ซ่อนเงื่อนจึงเป็นหลักฐานที่สอดคล้องกับข้อกล่าหาของนายอัจฉริยะ ที่อ้างว่าตรวจค้นพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนัน โยงมาถึงตัวภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์

พล.ต.ต.เอกรักษ์ จะปฏิเสธในเรื่องนี้อย่างไรก็ปฏิเสธไป แต่มีเอกสารรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการจับกุมเว็บพนัน Kingpin88.com ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางขุนเทียน ระบุดังนี้คือ เลขคดี 1161/2565 วันที่เกิดเหตุ 8 มิถุนายน 2565 สถานที่เกิดเหตุ บริษัท คอมโพส พับลิชชิง เลขที่ 15, 17, 19 ถนนเอกชัย 89/1 แขวงบางบอน เขตบางบอน จังหวัดกรุงเทพมหานคร

พบของกลางจำนวนมากเป็นโทรศัพท์มือถือสารพัดยี่ห้อได้ถึง 18 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง บัญชีม้า 4 เล่ม เงินสดในตู้เซฟ 27 ล้านบาท ปืน .357 แม็กนั่ม พร้อมกระสุนอีก 24 นัดที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ kingpin88.com

สำหรับหลักฐานที่ตำรวจยึดได้ เป็นเงินจำนวนถึง 27 ล้านบาทนั้น เทียบเคียงได้ว่า kingpin88 เป็นบ่อน Size M เลยทีเดียว


การบุกทลายเว็บ kingpin88 เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2565 สายตรวจ 191 นครบาล ได้หลักฐานที่ได้จากการทดลองไปเล่นพนันกับ kingpin88 และใบหน้าคนกดเงินจกบัญชีม้า ที่ตู้เอทีเอ็ม จนระบุตัวผู้ต้องหาได้ และสถานที่ทำเว็บ ก็คือโรงพิมพ์คอมโพส

ต่อมา วันที่ 8 มิถุนายน 2565 ตำรวจ สน.บางขุนเทียน นำหมายศาลบุกค้นโรงพิมพ์คอมโพสจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ประกอบด้วย นายอิทธิ คงศิริ ขณะเกิดเหตุ อายุ 52 ปี นายภาคิน ฐานะบวรเดช อายุ 27 ปี เป็นลูกเลี้ยงของนายอิทธิ น.ส.น้องญา ปานเมือง อายุ 24 ปี แฟนสาวของนายภาคิน

“หลักฐาน และรายละเอียดพวกนี้ผ่านมือตำรวจขึ้นไปสู่ชั้นอัยการเรียบร้อยแล้ว แต่ผมว่ายังมีกระบวนการดึงเรื่องไว้ที่ชั้นอัยการ ตามสูตรของพวกที่วิ่งคดี แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเรื่องแดงมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมว่าอัยการที่ในช่วงหลังหลายปีหลังเสียชื่อเสียงมาก จากการปล่อย “เจ้าของเว็บพนัน” ด้วยการสั่งไม่ฟ้องหลายราย คดี Kingpin88.com ซึ่งไม่ใช่เว็บพนันรายเล็ก ๆ และยังมีสายใยความเกี่ยวข้องกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่อยู่ในกระบวนการปราบปราบการฟอกเงินด้วย ผมคิดว่าอัยการคงไม่กล้าสั่งไม่ฟ้องอีก” นายสนธิกล่าว

นอกจากนี้ ด้วยความช่างพูด ช่างจำนรรจา ของ “เอก ปปง.” หรือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ สร้างความพิรุธไปที่ตัวภรรยาโดยตรงด้วย

อย่างที่บอกว่า“ดา” ภรรยา พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็รู้จักกันกับภรรยาของ “ศักดิ์ พระรามสาม” 1 ใน 2 บุคคลในภาพถ่ายกับ “ถุงเงิน 6 ล้าน”

“ศักดิ์ พระรามสาม” ผู้ผันตัวจากบ่อนพนันแบบเดิม ๆ มาเป็นบ่อนพนันออนไลน์ ในสายของ “สารวัตรซัว” พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล แห่งเป็นต่อกรุ๊ปด้วย ซึ่ง“ศักดิ์ พระรามสาม”คนนี้ ก็เป็นคนสีเทาเต็มขั้น เนื่องจาก เริ่มต้นความร่ำรวยมาจากการทำธุรกิจเทปผีซีดีเถื่อน ในยุคเฟื่องฟู ก่อนต่อยอดมาทำบ่อนพนัน


ซึ่งตัว พล.ต.ต.เอกรักษ์เอง ก็ยอมรับว่า เขาเองนี่แหละ เป็นคนแนะนำให้“ศักดิ์ พระรามสาม” ไปรู้จักกับ“ผู้การเปี๊ยก” พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ เพื่อต่อสายไปถึงนายชูวิทย์อีกที จนเกิดรายการฝากเงินทำบุญด้วย“ถุงเงิน 6 ล้านบาท” ขึ้นมา

งานเข้า เมื่อ “เอก ปปง.” ลั่นย้ายมานั่ง รองเลขาฯ ปปง. เพื่อพักผ่อน !?!

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงการโยกย้ายจาก สตช. มา ปปง. พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ยังพูดแบบไม่เกรงใจประชาชนคนไทย โดยอ้างว่า ตนเองย้ายจากตำรวจ มาเป็น ปปง. ก็เพื่อต้องการ “พักผ่อน” ไม่ได้ตั้งใจมาทำงาน เพราะลูกคนสุดท้องยังเล็ก อายุเพียง 9 เดือน

“ผมอยู่ธุรการ ผมอยากพักผ่อน ผมมา ปปง. เพื่อมาพักผ่อน เพราะว่าลูกผมยังเล็ก ลูกคนสุดท้องผมอายุ 9 เดือน ผมจะขอมาพักผ่อนและเลี้ยงลูก เพราะว่างานตำรวจทำให้ผมไม่มีเวลาดูแลครอบครัว”พล.ต.ต.เอกรักษ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวแบบไม่อายฟ้า อายดิน อายประชาชน ในวันที่ 28 มีนาคม 2566 หลังจากการแจ้งความหมิ่นประมาทนายอัจฉริยะ

ลูกชายพัวพันคดีลักร5ของ “ผู้กำกับโจ้” มาขาย 13 คัน !?!

ไม่เพียงแต่ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ไม่ได้เป็นเพียงเซลส์ขายไม้อัด หรือ แม่บ้านเลี้ยงลูกให้สามี แต่กลับมีรอยด่างจากการไปพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ขนาด Size M อย่างยากที่จะปฏิเสธได้


แม้แต่ลูกชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาเก่าที่คือร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ซึ่งเป็นตำรวจตามรอยพ่อจบการศึกษาด้านนิติศาสตร์ ม.หัวเฉียว และถูกฝากเข้าเป็นตำรวจก็ต้องคดีความเช่นกัน

เส้นใหญ่ไม่ใหญ่ ลองดูจดหมายฉบับนี้

คือคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 119/2566 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 10 มีนาคม 2566 ลงนามโดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รายชื่อบัญชีแนบท้ายอันดับที่ 20 ร.ต.ท.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ตำแหน่งเดิม รองสารวัตรกลุ่มงานวิชาการ 2 สบส. ตำแหน่งใหม่ รอง สว.สอบสวน สน.ทองหล่อ


วันที่ 5 เมษายน 2566 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางไปที่กองบังคับการปราบปราม ระบุว่า ตนเองเป็นตัวเเทนได้รับมอบอำนาจจาก“อดีต ผกก.โจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ให้นำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีต่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ และร.ต.ท.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ลูกชาย กับพวก 4 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ร่วมกันลักของโจร ปลอมเอกสารราชการ และ ใช้เอกสารราชการอันเป็นเท็จ

นายอัจฉริยะ ระบุด้วยว่า “อดีต ผกก.โจ้” ได้เปิดเผยกับตนว่า เมื่อปี 2564 พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งเวลานั้นเป็น รอง ผบช.ภ.6. ซึ่งรับผิดชอบดูแลคดีนี้และเป็นคนไปรับตัว อดีต ผกก.โจ้ รับปากจะหาทนายและจัดการทุกอย่างให้ แต่พอ “อดีต ผกก.โจ้” เข้าเรือนจำไป พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับลูกชายก็ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อลักรถทั้งหมดไปขายต่อเพราะเห็นว่าด้วยอัตราโทษที่ อดีต ผกก.โจ้ น่าจะถูกลงโทษ ไม่น่าจะได้ออกมาจากเรือนจำโดยง่าย

ทั้งนี้ ทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ รถยนต์ทั้งหมด 13 คัน มูลค่ากว่า 25 ล้านบาท


กรณีนี้ยังมีทนายความของอดีต ผกก.โจ้ เกี่ยวข้องโดยได้หลอกให้น้องสาวของอดีต ผกก.โจ้ เซ็นเอกสารรับรองทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งภายหลังน้องสาวได้เข้าไปสอบถาม อดีต ผกก.โจ้ ในเรือนจำจึงทราบว่าไม่มีเจตนาขายรถจึงไปขอเอกสารคืน แต่ทนายความแจ้งว่าได้ส่งเอกสารให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ รอง สว. สอบสวน สน.ทองหล่อ หรือ เบิร์ด ลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์

นอกจากนั้น ยังได้เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับการเซ็นโอนขายรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนชื่อผู้ครอบครองรถของ อดีต ผกก.โจ้ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งอ้างว่า ทั้งหมดเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงขึ้นมา

วันถัดมา พล.ต.ต.เอกรักษ์ ออกมาแก้ข่าวว่า หลังจาก ผู้กำกับโจ้ ถูกนำตัวเข้าเรือนจำฯ ทางทนายความและแฟนสาวของ “อดีตผู้กำกับโจ้” ได้มาขอให้ตนช่วยนำรถที่มีอยู่ไปขายเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายทางคดี ทนายจึงได้นำรถ กุญแจและเอกสารมาให้ตน พร้อมยืนยันว่าผู้กำกับโจ้ให้แฟนสาวเป็นคนตัดสินใจ ตนจึงช่วยเหลือโดยให้ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ บุตรชาย ซึ่งนอกจากจะเป็นตำรวจแล้ว ยังมีอาชีพขายรถมือสองอีกต่างหาก ได้นำรถไปขายให้ จากนั้น เมื่อขายรถได้ก็นำเงินให้แฟนสาวผู้กำกับโจ้ไป


พล.ต.ต.เอกรักษ์ เปิดเผยด้วยว่า ต่อมา สำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินรถยนต์หรูกว่า 13 คันตามบัญชีฟ้อง เป็นเหตุให้รถที่ขายไปแล้วนั้น ตนต้องควักเงินส่วนตัวไปคืนคนที่ซื้อรถไป จากนั้นก็นำรถมาเก็บไว้ระหว่างรอคำสั่งศาล ซึ่งปัจจุบันรถทั้งหมดก็ยังอยู่ระหว่างการถูกอายัด ยังอยู่ในประเทศไทยเพื่อรอคำสั่งศาลเด็ดขาด โดยถ้าหากศาลมีคำสั่งยึด ก็ต้องนำรถไปส่งให้กับศาล ดังนั้น ในเมื่อ ป.ป.ช. อายัดทั้งหมด ตนจะไปขโมยรถของผู้กำกับโจ้ทำไม?


บทสรุป : ความใกล้ชิดสนิทสนมของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ตั้งแต่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 กับ “อดีตผู้กำกับโจ้” ที่มีเงินและทรัพย์สินเป็นพันๆ ล้าน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
-ความใกล้ชิดระหว่าง ร.ต.ท.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับนายภาคิน ฐานะบวรเดช ผู้ต้องหาเว็บพนัน kingpin88.com

-หลักฐานธุรกรรมทางการเงินระหว่างผู้ต้องหาคดีเว็บ kingpin88.com กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และภรรยา

-ข้อมูลการครอบครองรถยนต์และต่อทะเบียนภาษีรถยนต์ของผู้กำกับโจ้ ทั้งที่เจ้าตัวอยู่ในคุก

เรื่องทั้งหมด คือเบื้องลึกเบื้องหลังของถุงเงิน 6 ล้านบาท เกมยึด ปปง. ที่เชื่อมโยงนายชูวิทย์ กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ นั่นเอง

เรื่องล่าสุด