บางแสน ชลบุรี

565000004290101.jpg

“ดร.มิว” จากชีวิตเด็กสลัมคลองเตย สู่เจ้าของอพาร์ทเมนท์ มูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท


ชื่อของ “ดร.มิว เศรษฐีพันล้าน” เริ่มเป็นที่รู้จัก หลังจากที่เธอหันมาเล่นโซเชียลฯ และ วันหนึ่งเธอก็ได้ขึ้นเป็นดาว TikTok ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก แต่ความน่าสนใจของ “ดร.มิว” ไม่ได้อยู่แค่ว่าเธอเป็นดาว TikTok แต่ผู้หญิงคนนี้ เธอมีประวัติที่น่าสนใจ และฉายา ที่พ่วงท้ายด้วย “เศรษฐีพันล้าน”จริงหรือไม่ วันนี้ พามารู้จัก กับ “นางสาวพรทิพา กรุดลอยมา” ดร.มิว เศรษฐีพันล้าน ผ่านการบอกเล่าของเจ้าตัว


จากต้นทุนชีวิตติดลบเด็กสลัม
สู่ เจ้าของธุรกิจอสังหาฯกว่าพันล้าน

นางสาวพรทิพา (ดร.มิว) เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กให้ฟัง ว่า ตนเองมาจากเด็กสลัมคลองเตย ในชีวิตไม่เคยมีบ้าน เกิดและเติบโตในสลัมโดยมีแม่คอยเลี้ยงดูแลอย่างดี แม้ว่าอยู่ในบ้านหลังคาสังกะสีห้องเก่าๆ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลย ไม่แม้แต่ทีวี ตู้เย็น แม่มีรายได้จากรับจ้างไปวันๆ วันหนึ่งแม่มีรายได้ประมาณ 50-100 บาท การที่เราต้องเติบโตในสลัม ที่คุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเลย ทำให้เราต้องพยายามมากกว่าคนอื่นๆ เพราะเป็นชีวิตที่มากกว่าศูนย์ แต่เป็นชีวิตที่ติดลบ ต้องถีบตัวเองออกจากสลัมแห่งนี้ให้ได้ หลังจากที่เราได้ไปเห็นเพื่อนเขามีบ้าน มีรถกัน ถ้าจะหวังพึ่งแม่ ที่มีรายได้แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ ก็คงไม่ได้ เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องเรียนให้เก่ง เพื่อที่เราจะได้หาเงินให้ได้มากๆ เราจะได้มีบ้าน มีรถ เหมือนคนอื่นๆ

“ด้วยความที่แม่ไม่เงินพอที่จะส่งให้เราเรียน เราก็เลยจะต้องหาเงินเรียนเอง สิ่งแรกในวัยเด็กที่ทำได้ คือ การเรียนดีเพื่อจะขอทุนการศึกษาได้ ทำให้ตั้งแต่เป็นเด็กเรียนทุนมาตลอด พอเราโตขึ้นมาพอจะทำงานได้ ก็ทำงานทุกอย่าง เริ่มจากสอนพิเศษ รับสอนพิเศษตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม สอนพิเศษเด็กประถม ได้ชั่วโมงละ 80 บาท พอโตขึ้นมาได้อยู่มหาวิทยาลัย สามารถสอบเอนทรานเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ ทำให้ได้ขยับขึ้นมาเป็นติวเตอร์ สอนน้องในชั้นมัธยม ตอนนั้นค่าสอนอยู่ที่ชั่วโมงละ 250 บาท เพราะน้องส่วนใหญ่จะสนใจเรียนกับพี่ที่เรียนคณะวิศวะฯ มากกว่าคณะอื่นๆ ได้ค่าสอนที่แพงขึ้นมา ทำให้เรามีเงินมากขึ้น”


เรียนด้วยทำงานด้วย เรียนจบปี 2 มีเงินเก็บหนึ่งล้าน

นอกจากเป็นติวเตอร์ สอนหนังสือแล้ว อะไรพอจะแล้วได้เงิน ดร.มิว คนนี้ ทำหมด แม้แต่อาชีพสาวพริตตี้ ถ้าช่วงไหนมีงานแสดงสินค้า อย่างงานมอเตอร์โชว์ เขาต้องการพริตตี้ เราก็ไปสมัครเป็นพริตตี้ ที่สนใจไปเป็นพริตตี้ เพราะได้ค่าจ้างสูง เป็นหลักพัน ไปจนถึงหลายพัน ในสมัยก่อนพริตตี้ไม่ได้แต่งตัว เหมือนอย่างในยุคสมัยนี้  เราก็เลยเลือกทำงานเป็นพริตตี้พ่วงไปด้วย

พอมีรายได้ก็สามารถออกไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกได้ และ มิว กับแม่ก็ออกไปเช่าบ้านหลังหนึ่ง ตอนนั้น ให้คนอื่นเช่าอยู่ด้วย พอวันหนึ่งเจ้าของบ้านขายต่อให้ ก็เลยซื้อบ้านหลังนั้นไว้ พร้อมกับปล่อยบ้านหลังนั้นเป็นบ้านเช่า ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 2 มีรายได้จากค่าเช่าและเงินเก็บจากการทำงานระหว่างเรียนกว่า 1 ล้านบาท ออกมาซื้อบ้านหลังใหม่ พร้อมรถตอนเรียนจบปริญญาตรี และได้ทำงานบริษัทเป็นพนักงานประจำอยู่ 2 ปี ก็ลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว


เงินทุกบาทที่ได้ นำมาต่อยอดการลงทุน

ด้วยต้นทุนที่ชีวิตที่ลำบาก ทำให้ ดร.มิว เธอเลือกที่จะวางแผนการใช้เงิน โดยทุกครั้งที่ได้เงินมาจะไม่ยอมนำเงินไปใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟื่อย เงินทุกบาทที่ได้ จะต้องถูกนำมาลงทุนต่อ พอหลังจากเรียนจบ วิศวะฯ เธอก็ได้ไปทำงานประจำอยู่ 2 ปี ตอนนั้นเงินเดือนแค่ 12,000 บาท เมื่อสัก 22 ปีที่ผ่านมา และลาออกมาเป็นเซลล์ ขายระบบกรองน้ำในอุตสาหกรรม เพราะด้วยอาชีพวิศวะ ทำให้การขายระบบกรองน้ำของเราต่างจากเซลล์ทั่วไป เพราะเราสามารถที่จะอธิบายลูกค้าได้ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า เพราะถ้าขายแค่ฟิวเตอร์ระบบกรองน้ำขายได้แค่ 4,000-5,000 บาท แต่เรามีความรู้ด้านวิศวะ สามารถขายระบบกรองน้ำได้ทั้งระบบซึ่งหลักหลายแสนไปจนถึงหลักล้าน ด้วยเหตุนี้ ทำให้บริษัทของเราเป็นอันดับต้นๆในการขายระบบกรองน้ำของอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน ดร.มิว ก็ยังคงมีอาชีพหลักคือ ขายระบบกรองน้ำในอุตสาหกรรม ส่วนการลงทุนทำอพาร์ทเมนท์ เกิดขึ้น เมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา เพราะด้วยเธอเป็นนักลงทุน การวางแผนลงทุนเกิดขึ้นในหัวของเธอมาตลอด โดยเงินที่ได้จากกิจการบริษัทจำหน่ายระบบกรองน้ำ เธอนำมาลงทุนต่อ โดยเลือกลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพราะเห็นถึงผลตอบแทนที่สูงในอนาคต


ประสบการณ์จากผู้เช่า สู่เจ้าของอพาร์ทเมนท์

ดร.พรทิพา เล่าถึง จุดเริ่มต้นการทำธุรกิจอพาร์ทเมนท์ เริ่มขึ้นมาจากที่ตนเองเคยเป็นผู้เช่ามาก่อน และจากประสบการณ์บ้านหลังแรกที่ให้คนอื่นเช่า ทำให้รู้ว่าการเก็บค่าเช่าเป็นรายได้ที่ดีมาก หลังจากนั้น พอมาเปิดบริษัทก็เริ่มจากมาเช่ามินิแฟคตอรี่ในพื้นที่ใกล้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ด้วยค่าเช่าเพิ่มขึ้นตลอด และตอนหลังหันมาใช้การซื้อแทน และปล่อยเช่าให้กับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น นำเงินที่ได้จากค่าเช่ามาซื้อหลังต่อๆไป ซื้อจนหมดโครงการ ซึ่งมีทั้งที่ปล่อยให้ลูกค้าญี่ปุ่นเช่าไปบ้าง ขายต่อไปบ้าง เพราะราคาในตอนนั้นเพิ่มขึ้นสูงมาก สุดท้ายขายไปจนหมด และนำเงินมาลงทุนทำอพาร์ทเมนท์ และซื้อที่ดินเก็บ ผ่านมาจนถึงปัจจุบันทำอพาร์ทเมนท์ ทั้งขายและปล่อยเช่ามากว่า 12 ปี ทำอพาร์ทเมนท์ไปทั้งหมด 29 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท จนได้ฉายา ว่า ดร.มิว เศรษฐีอพาร์ทเมนท์

ปัจจุบัน ดร.มิว มีอพาร์ทเมนท์ที่ดูแลปล่อยเช่า อยู่ทั้งหมด 3 แห่ง อยู่ที่ บางแสน จังหวัดชลบุรี ทั้งหมด 3 อาคาร ที่กำแพงแสน 8 อาคาร และที่ คลองหก ปทุมธานี อีก 5 อาคาร รวมทั้งหมด 1,550 ห้อง โดยอพาร์ทเมนท์ ของดร.มิว จะเน้นการออกแบบเพื่อรองรับกลุ่มนักศึกษา เพราะด้วยความที่เข้าใจนักศึกษา ว่า ต้องการอะไร เพราะเค้าเคยผ่านการเป็นนักศึกษามาก่อน


อพาร์ทเมนท์ เจาะกลุ่มนักศึกษา

สำหรับจุดแตกต่างของอพาร์ทเมนท์ทั่วๆไปกับอพาร์ทเมนท์นักศึกษานั้น มีหลายจุด เช่น พื้นที่นั่งอ่านหนังสือ มีห้องสมุด การมีไวไฟ อินเตอร์เน็ตไว้บริการ กล้องวงจรปิดหลายมุม เพื่อสร้างความอุ่นใจ ให้กับผู้ปกครอง ว่าลูกๆ ของเขาจะปลอดภัย รวมถึงบริการอื่นๆ ที่ทำให้น้องๆ ไปต้องออกไปข้างนอก เช่น ตู้หยอดเหรียญซักผ้า น้ำดื่ม อาหาร เป็นต้น ส่วนราคาค่าเช่าต่อห้อง อยู่ที่ 4,200 บาทต่อเดือน

ทำไมมิวถึงเลือกทำอพาร์ทเมนท์ เจาะกลุ่มนักศึกษา เพราะว่าเราเคยเป็นนักศึกษามาก่อน เราเคยเช่าอพาร์ทเมนท์ เรารู้ว่า นักศึกษาต้องการอะไร และผู้ปกครองต้องการอะไร การออกแบบตอบโจทย์ผู้เช่าที่เป็นนักศึกษา และการปล่อยเช่าในทำเลที่มีนักศึกษา ข้อดี คือ เช่าระยะยาวกว่า และไม่ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร พ่อ แม่ก็ต้องหาเงินมาให้ลูก ได้เรียน ปัจจุบันอพาร์ทเมนท์ ทั้ง 3 แห่ง มีผู้เช่าเกือบเต็มทุกที่”


ในส่วนการสร้างอพาร์ทเมนท์เพื่อขาย ในช่วงนี้ ดร.มิว บอกว่า ยังไม่มีการสร้างขาย จะเป็นการสร้างเพื่อปล่อยให้เช่ามากกว่า ซึ่งในส่วนที่ขาย ได้มีคนมาขอซื้อไปหมดแล้ว “ดร.มิว” พูดถึง ผลตอบแทนของอพาร์ทเมนท์ ว่า โดยส่วนตัวในมุมของนักลงทุน เค้าจะมองกันว่าการลงทุนอะไรให้ผลตอบแทนสูงสุด และพบว่าการลงทุนอพาร์ทเมนท์ให้ผลตอบแทนที่ดี และไม่มีความเสี่ยง ในขณะที่การลงทุนทองคำ หรือ เหรียญคริปโตฯ หรือ หุ้น ให้ผลตอบแทนระยะสั้นทีดีกว่า แต่มีความเสี่ยง หรือ ถ้านำเงินไปฝากให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่ามาก ดร.มิว ก็เลยตัดสินใจนำเงินจากรายได้ทั้งหมด มาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่

ถ้าถามถึงรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ กับธุรกิจระบบกรองน้ำ ดร.มิว บอกว่า ตอนนี้ รายได้อยู่ในสัดส่วน 50:50 ต่างจากในอดีตเราจะนำเงินที่ได้จากธุรกิจกรองน้ำ มาใช้ลงทุนในอสังหาฯ แต่วันนี้ ธุรกิจอพาร์ทเมนท์ สามารถทำรายได้ในระดับเดียวกัน


ท้ายสุดนี้ เรื่องราวของ ดร.มิว อาจจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับหลายคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีต้นทุนชีวิตที่ไม่ดีเหมือนกับเพื่อนๆ ซึ่ง ดร.มิว คนนี้ น่าจะเป็นอีกตัวอย่างของคนที่ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดี หรือเลือกเกิดไม่ได้ แต่เค้าสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิต และเดินไปถึงความฝันได้ เพียงแค่เริ่มลงทำ กล้าที่จะทำ และเริ่มก่อนคนอื่นๆ สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

ติดต่อ Line @dr.mew 


คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ”รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด

SMEs manager

เรื่องล่าสุด